top of page

ทางไกลนับหมื่นลี้...ต้องมีก้าวแรก" (ตอนที่ 3)

สวัสดีคุณลูกค้าทุกท่านค่ะ กำลังรออ่านตอนที่ 3 อยู่ใช่มั้ยคะ เพื่อไม่ให้รอนาน ไปติดตามกันเลยค่ะ

มนุษย์เกิดมาเพื่อแก้ปัญญา

หลายสาเหตุที่คนภายนอกจะมองเห็นได้ดีกว่าที่เรามองไม่เห็นวิธีแก้ปัญหานั้น เนื่องมาจากเรามีความเคยชินในอดีตนั่นเอง หนึ่งวิธีจะจัดการกับปัญหาคือ การทำใจให้ว่างแทนที่จะวุานวายและสับสนกับข้อมูลต่างๆ ที่เข้ามาอย่างมากมายหาที่สงบๆ ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น และฟังเสียงจากภายใน ปล่อยให้ปัญญาซึ่งอยู่ภายในตัวเราผุดขึ้นมาเอง

บ่อยครั้งที่มันผุดขึ้นมาเฉยๆ โดยไม่รู้ที่มาแต่ก็ช่วยให้เราได้พบคำตอบได้จนเราแปลกใจว่าปัญหาบางเรื่องแก้ได้ง่ายอย่างนี้ โปรดจำไว้ให้ดีว่ายิ่งกังวลกับปัญหาน้อยลงเท่าไร ก็จะยิ่งแก้ได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น เรื่องตัวอย่างข้าวเปลือกเมื่อสีออกมาแล้ว เปอร์เซ็นต์ข้าวสารไม่ได้จำนวนตามตัวอย่าง สีข้าวไม่ได้หาบที่ต้องการ ซื้อข้าวเปลือกไม่เข้า เครื่องจักรเสีย ไม่มีช่างซ่อม จริงๆแล้วไม่มีโรงสีไหนไม่มีปัญหา แต่ปัญหาต่างๆทุกโรงสีมีไม่เหมือนกัน เช่นสุภาษิตแต้จิ๋วบทหนึ่ง "พันคนก็พันทุกข์ ทุกข์ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน" ฉะนั้นจงพยายามอยู่เหนือปัญหาพยายามให้ปัญหาเกิดขึ้นน้อยที่สุด

อารมณ์ดี เงินก็ดีด้วย

เมื่ออารมณ์ดี ความคิดก็ดี เมื่ออารมณ์ไม่ดี มีความเครียด โมโห ความคิดก็แย่ไปด้วย อารมณ์เหมือนอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลา เมื่ออารมณ์ไม่ดีเราจะคิดถึงสิ่งต่างๆในแง่ลบ มองตัวเองเป็นผู้แพ้

ถ้าอารมณ์ดี ความคิดก็ดีแทนที่เราจะมัวไปชิงดีชิงเด่นกับเขาเรากลับมองเห็นความสามารถพิเศษของเรา มองโอกาสใหม่ๆในการสีข้าวมากขึ้น มองตลาดได้แม่นยำขึ้น เราเก่งอะไร ข้าวชนิดไหนที่เรามีมากต้นทุนเราดีกว่าคนอื่นเขาแทนที่จะมองว่าทางตัน ไม่มีทางที่จะแข่งขันกับโรงสีอื่นที่เขาขายราคาถูกกว่า เรากลับมองเห็นโอกาสใหม่ๆ การสีข้าวในตลาดที่เรามองข้าม เครื่องมือที่เราได้เปรียบกว่าคนอื่น ทำอารมณ์ให้ดีสุขภาพก็จะดีด้วย คนรอบข้าวก็จะมีความสุข มีเถ้าแก่คนหนึ่งที่จังหวัดอุบลราชธานี แกพูดไปหนึ่งประโยคต้องมีเสียงหัวเราะ 1 ครั้ง พูดโทรศัพท์กับแกทีไรเป็นต้องหัวเราะได้ทุกครั้ง อารมณ์แกดีตลอดจริงๆ ทำให้คนรอบข้างสบายใจไปด้วย อยากซื้อขายกับแก ลองนึกกลับดูถ้าท่านเจอคนอารมณ์ไม่ดีมาคุยเรื่องธุรกิจกับท่านท่านคงไม่อยากจะคุยกับเขานาน คำก็บ่น สองคำก็ตำหนิ มองโลกในแง่ร้ายตลอดเวลา มีสุภาษิตสำนวนหนึ่งกล่าวว่า "วาจาอ่อนหวาน ลูกหลานไกล้ชิด วาจาเป็นพิษ ญาติมิตรห่างไกล"

สิ่งที่ดีอยู่แล้ว บางทีมันก็ดีจริงๆ (เพราะผ่านการพิสูจน์มานานแล้วว่าดี)

เครื่องสีข้าวนั้นมีอายุมากกว่า 200 ปี ก็ยังไม่มีวิศวกรคนไหนเปลี่ยนโครงสร้างหรือแนวคิดที่เรียกว่าใหม่ เป็นนวัตกรรม บางทีของที่เราใช้นั้นมันดีจริงๆ แต่เราก็ดิ้นรนเสาะหาสิ่งใหม่ๆ เพื่อมาทดแทนและชดเชยสิ่งเก่าๆ ที่เราเรียกว่าโบราณ เชย เต่าล้านปี ทำนองนี้ แต่ผมก็เห็นว่าเครื่องสีบางชนิดอุปกรณ์บางตัวเริ่มใช้มากว่า 200 ปียังไม่มีใครเปลี่ยนได้ คลื่นของการพัฒนามีเป็นระลอกมาหลายครั้งแล้ว น่าจะภูมิใจที่เครื่องสีข้าวของไทยเรา สีข้าวได้ดี ประหยัดพลังงาน ซ่อมง่าย ค่าใช้จ่ายไม่แพงทั้งตัวเครื่องและอะไหล่ โรงสีข้าวไม่ใช่ธุรกิจที่มีกำไรมากมายการลงทุนเครื่องอุปกรณ์แต่ละครั้งต้องคิดให้รอบคอบ ต้นทุนแปรผัน ค่าซ่อมบำรุงเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดถึงผลกำไรในปลายปี ถ้าท่านสีข้าวชนิดนี้แล้วมีกำไรท่านต้องเดินหน้าทำให้ดีที่สุด อย่าคิดว่าถ้าสีข้าวอีกแบบหนึ่งจะดีกว่าเพราะท่านอาจไม่ถนัด ไม่มีข้าวเปลือกในพื้นที่

ฟังคำแนะนำที่ดี

เคล็ดลับในการสร้างร้านสีข้าวคือต้องจ้างช่างสร้างโรงสีที่มีความสามารถ คือ ต้องจ้างคนเก่งเพราะเขาจะทำให้คุณมีกำไร อุปสรรคข้อใหญ่คือคนส่วนใหญ่ไม่กล้าทำในเรื่องอย่างนี้ เขากลัวว่าถ้าจ้างช่างเก่งๆ มาแล้วตัวเองจะไม่เก่งเพราะว่าช่างเก่งกว่า เคยสังเกตไหมว่าโรงสีบางโรงจ้างช่างที่ไม่มีประสบการณ์มาทำร้านสีเพื่อประหยัดค่าแรงโดยคิดว่าตัวเองควบคุมการสร้างเองแล้วจะดี นั้นถูกต้องคือดีในแบบที่ตัวเองต้องการและใช้เครื่องจักรที่ยังไม่ได้ผ่านการทดสอบกับข้าวสารที่ตัวเองสีขายอยู่ทุกวัน ที่แล้วๆ มานั้นดีอยู่แล้วแต่ฟังดูข้อมูลว่าเครื่องรุ่นใหม่ๆนี้จะช่วยในการสีข้าวได้โดยไม่ต้องใช้ความชำนาญมากนัก ฟังแต่สเป็คว่าดี อยากจะให้ดีกว่าที่เราใช้อยู่ และให้คนอื่นเห็นว่าเราใช้ของทันสมัย สุดท้ายจึงต้องมานั่งซ่อม รื้อโครงสร้างร้านสีอยู่คนเดียว โดยไม่กล้าปรึกษาใคร จริงๆแล้วเราต้องจ้างช่างที่มีความรู้และนำประสบการณ์ที่